Powered By Blogger

วันอังคารที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ศักดินายุโรป ระบอบฟิวดัล (Feudalism)


ศักดินายุโรป  ระบอบฟิวดัล (Feudalism)
พื้นฐานและที่มาของระบบ
ระดับชั้นในระบบศักดินาของตะวันตกเป็นระบบสังคมและเศรษฐกิจที่เป็นระบบ ที่ใช้ในสังคมของยุโรปอย่างกว้างขวางในยุคกลาง หัวใจของระบบคือการมอบดินแดนให้เป็นการแลกเปลี่ยนกับการสนับสนุนทางการทหาร
ธรรมชาติของระบบศักดินาเป็นระบบที่สร้างระดับชั้นในสังคม ที่ผู้มีส่วนร่วมต่างก็ทราบฐานะและหน้าที่ของตนในระบบสังคมนั้น ว่ามีความเกี่ยวข้องและรับผิดชอบต่อผู้ใดที่เหนือกว่า และต่ำกว่าตนเองอย่างใด การรักษาความสัมพันธ์ดังว่าเป็นไปตามการสืบดินแดนตามกฎบัตรต่างๆ หรือประเพณีที่วางไว้อย่างเคร่งครัด แต่กฎของประเพณีอันสำคัญที่สุดและปฏิบัติกันอย่างเคร่งครัดที่สุดคือกฎสิทธิของบุตรคนแรกซึ่งหมายความว่าสมบัติ/ที่ดินทุกอย่างของผู้ที่เสียชีวิตต้องตกเป็นของบุตรชายคนโตเท่านั้น
บุคคลในสังคมระบบศักดินาเป็น "บริวาร" (vassal) หรือ "ข้า" ของประมุข ฉะนั้นจึงต้องสาบานความภักดีต่อประมุข ผู้ที่มีความรับผิดชอบและหน้าที่ในการพิทักษ์และรักษาความยุติธรรมให้แก่ผู้ อยู่ภายใต้การปกครอง สังคมระบบศักดินาเป็นสังคมที่สมาชิกในสังคมมีความภักดีและหน้าที่รับผิดชอบ ต่อกันและกัน เป็นสังคมที่ประกอบด้วยผู้ครองดินแดนผู้เป็นทหารและชนชั้นแรงงานที่เป็น เกษตรกร ขุนนางที่เป็นผู้ครองดินแดนที่ว่านี้ก็รวมทั้งสังฆราชเพราะสังฆราชก็เป็นผู้ครองดินแดนเช่นเดียวกับฆราวาส ชนชั้นที่ต่ำที่สุดในระบบนี้คือเกษตรกร หรือ villeins ต่ำกว่านั้นก็เป็นข้าที่ดิน (serfs)
ระบบศักดินารุ่งเรืองมาจนกระทั่งเมื่อระบบการปกครองโดยพระมหากษัตริย์ผู้ มีอำนาจจากศูนย์กลางมีความแข็งแกร่งขึ้น ก่อนหน้านั้นผู้มีอำนาจที่แท้จริงคือขุนนางผู้ครองดินแดน ผู้มีเกษตรกรอยู่ภายใต้การปกครองผู้มีหน้าที่เสียค่าธรรมเนียมต่างๆ ระบบการศาลก็เป็นระบบที่ทำกันในท้องถิ่นที่ปกครอง ระบบก็จะแตกต่างกันออกไปบ้างแต่โดยทั่วไปแล้วเกษตรกรก็จะมีที่ดินทำมาหากิน แปลงเล็กๆ หรือแปลงที่ร่วมทำกับผู้อื่นที่ใช้เป็นที่ปลูกอาหารสำหรับตนเองและครองครัว และมีสิทธิที่จะหาฟืนจากป่าของผู้ครองดินแดนมาใช้ ระบบที่ใช้กันมากคือระบบการแบ่งที่ดินเป็นผืนยาวๆ รอบดินแดนของมาเนอร์
ระบบศักดินาตะวันตกที่วิวัฒนาการขึ้นในขณะที่บ้านเมืองอยู่ในสภาพอัน ระส่ำระสายในคริสต์ศตวรรษที่ 8 ในฝรั่งเศสเป็นระบบที่ทำให้สร้างความมีกฎมีระเบียบขึ้นบ้าง การเป็นเจ้าของดินแดนก็อาจจะได้มาโดยการยินยอมหรือการยึดครอง ผู้ครองดินแดนใหญ่ๆ อาจจะได้รับหน้าที่ทางกฎหมายและทางการปกครองจากรัฐบาลกลางพอสมควร เมื่อมาถึงระดับดินแดนในปกครองผู้ครองดินแดนก็อาจจะทำข้อตกลงกับเจ้าของดิน แดนที่ย่อยลงไปอื่นๆ ในการก่อตั้งกองทหารท้องถิ่นเพื่อการป้องกันตนเอง ระบบศักดินาเป็นระบบที่มีกฎหมายและจารีตที่เป็นของตนเองที่มามีบทบาทอัน สำคัญในประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของยุโรปในยุคกลาง ระบบศักดินานำเข้ามาใช้ในอังกฤษโดยสมเด็จพระเจ้าวิลเลียมที่ 1 แห่งอังกฤษใน ปี พ.ศ. 1609 แต่ทรงริดรอนอำนาจจากขุนนางที่เป็นบริวารของพระองค์เป็นอันมากและใช้ระบบการ บริหารจากส่วนกลาง ระบบศักดินามีองค์ประกอบสามอย่าง: เจ้าของที่ดิน, ที่ดิน และ รัฐบาล สมาชิกในระบบศักดินารวมทั้งพระมหากษัตริย์ผู้เป็นประมุขของระบบ แต่ละคนต่างก็มีอภิสิทธิ์แตกต่างกันไปตามที่ระบุตามกฎระบบศักดินาในการรับ ผิดชอบต่อหน้าที่ที่กำหนด

ระดับชั้นในระบบศักดินา
ระบบศักดินา หรือ ระบบสามนตราช (Feudalism) ของยุโรปนี้แตกต่างจากระบบศักดินาไทยอย่างสิ้นเชิง เพราะเป็นระบบดังกล่าวข้างต้น ที่มีนาย และข้า ถัดลงไปตามลำดับ โดยระดับสูงคือจักรพรรดิที่อาจมีรัฐบริวาร (Vassal) รองลงมาคือ กษัตริย์ และ อาร์คดยุค เช่นในจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (Holy Roman Empire) กษัตริย์ก็มีข้ารองลงมา ปกครองดินแดนย่อยลงไปคือ ดยุค และถัดไปตามลำดับ ขุนนางและผู้ครองดินแดนของยุโรปแบ่งออกเป็น 5 ระดับดังนี้
o   เอิร์ล (อังกฤษ) หรือ เคานท์ หรือ มากราฟ (ภาคพื้นยุโรป)
ตำแหน่งต่างๆ เหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นตำแหน่งสืบสกุล พระมหากษัตริย์มีสิทธิที่จะพระราชทานตำแหน่งใหม่ หรือเพิกถอน หรือผนวกดินแดนเป็นของหลวง แต่ละตระกูลจะสืบสกุลไปจนกว่าจะสิ้นบุตรชายหรือถูกปลดหรือถูกผนวกโดยดินแดน อื่น ลักษณะของดินแดนที่ครองก็เปลี่ยนไปตามความผันผวนทางการเมือง, การแบ่งแยกที่ดินระหว่างทายาท หรือการรวมตัวกันเป็นสหอาณาจักร และอื่นๆ บางตำแหน่งก็เป็นตำแหน่งเลือกตั้งหรือการเลื่อนระดับเช่นตำแหน่งเจ้าผู้ครองนครของอาณาจักรสมเด็จพระสังฆราช แม้ว่าผู้ครองดินแดนเหล่านี้อาจจะไม่เป็นข้าราชการโดยตรงแต่ก็มีหน้าที่รับ ผิดชอบต่อผู้เหนือกว่า ขุนนางเหล่านี้จะมี ที่ดิน หรือ Estate เป็นของตนเอง มีข้าที่ดิน (serfs) คือสามัญชนที่ทำกินในที่ดินของขุนนาง และต้องจ่ายภาษีให้ขุนนางเจ้าของที่ดินนั้น และขุนนางมีอำนาจตัดสินคดีความในเขตของตน และจะต้องส่ง ทหารที่พร้อมรบ ไปรวมทัพกับกษัตริย์ในกรณีที่มีการระดมพล ในการทำสงคราม ขุนนางจะต้องรับผิดชอบ เกณฑ์คนในเขตของตนไปร่วมกองทัพ
 ที่มาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.คณะอักษรศาสตร์. อารยธรรมสมัยโบราณ-สมัยกลาง. กรุงเทพ
                         มหานคร:สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2540.

วันจันทร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Modernism

Modernism

1. นิสัยหรือการปฏิบัติของ moralizing
2. คุณธรรมกล่าวว่า
3. (ปรัชญา) การปฏิบัติของคุณธรรมจริยธรรมโดยปราศจากการอ้างอิงศาสนา 
   

      Moralism เป็น ปรัชญา ในปัจจุบันซึ่งเน้นว่าการกระทำของมนุษย์ควรสอดคล้องกับหลักคุณธรรม

ในความรู้สึกของ moralism นอกระบบมีวัตถุประสงค์เพื่อดูข้อ จำกัด แบบดั้งเดิมของ เรื่องเพศ และมีแนวโน้มที่จะวิพากษ์วิจารณ์บุคคลที่มีการตั้งค่าที่แตกต่างกัน ในการนี้ขอบเขตของการmoralism หายไปในคลื่นในประวัติศาสตร์ moralistvåg ที่รู้จักกันเป็นบางครั้งกล่าวว่าจะเป็น วิคตอเรีย หรือ Oscarianska เป็นที่รู้จักกันในสวีเดนและนอร์เวย์ซึ่งทำเครื่องหมาย 1800 ที่อยู่ตรงกลาง ตัวอย่างของการเคลื่อนไหวที่บางครั้งมี moralists เป็น คริสเตียนขวา และ การเคลื่อนไหวรุนแรง 

    คนมีศีลธรรม colloquially ใช้มักจะเป็นประจุลบระยะ มันจะให้กับคนที่พวกเขาเชื่อว่ากำลังรบกวนการทำงานในชีวิตของผู้อื่นและจึงใส่ตัวเองขึ้นเป็นผู้พิพากษาไปทางของพวกเขาในชีวิต

     Moralism การเข้าใจผิด ที่จะคิดว่าพอใจความรู้สึกใด ๆ หรือ indulging ของเครื่องแต่งกายใด ๆ กินอาหารอร่อย ๆ ในเนื้อเครื่องดื่มหรือเป็นของตัวเองไม่เคยรองสามารถเข้าไปในความกระตือรือร้นหัวที่ไม่ได้ไม่เป็นระเบียบโดย frenzies ของ .... vices indulgences เหล่านี้เฉพาะเมื่อพวกเขาถูกตามล่าที่อาศัยอำนาจตามค่าใช้จ่ายบางส่วนเป็นความเอื้ออารีหรือการกุศลในลักษณะเช่นที่พวกเขาจะ follies เมื่อพวกเขาคนสถานที่ปรักหักพังดวงชะตาของเขาและช่วยลดตัวเองต้องการและความยากจน เมื่อยึดที่มั่นที่พวกเขาไม่มีคุณธรรม แต่ออกจากที่นั้นอาจเพียงพอที่จะให้สำหรับเพื่อนครอบครัวและทุกวัตถุที่เหมาะสมของความเอื้ออาทรหรือความเห็นอกเห็นใจพวกเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ทั้งหมด

   จริยธรรมการเข้าใจผิดของ moralism (adj. "ศีลธรรม") ผลที่ได้จากลักษณะทั่วไปของ imperativesคุณธรรมและความรับผิดชอบเป็นของ ลีโอนาร์เนลสัน moralism กำหนดในลักษณะนี้ :
'moralism'ผมเรียกว่าระบบของคุณธรรมจริยธรรมที่เพียงพอสำหรับการควบคุมบรรทัดฐานในเชิงบวกของชีวิต ในคำอื่น ๆ ที่ไม่รวม moralism ความเป็นไปได้ของการกระทำที่ไม่แยแสศีลธรรม ตามนั้นการดำเนินการทุกคนต้องมีลักษณะเป็นปฏิบัติตามหรือการละเมิดการปฏิบัติหน้าที่ระบบ

การเข้าใจผิดของ Moralism
     1. ความเกรียวกราวกว่ากะเหรี่ยง Finley ขณะนี้ล่องลอยในประวัติศาสตร์และผู้อ่านจำนวนมากอาจจะไม่รู้จักชื่อของเธอ  Finley จะอยู่ในความอับอายขายหน้าในจารีตนิยมในการใช้สิทธิ์ของตัวเองจากชาติประกันชีวิตสำหรับศิลปะย้อนกลับไปใน s '80', การทำชิ้นงานศิลปะการแสดง : เธอปรากฏบนเวทีในเปลือยน้ำเชื่อมช็อคโกแลต, smeared บนร่างกายของเธอและเชิญผู้ชม สมาชิกเลียออก  คัดค้านค่อนข้างเหมาะสมของหลักสูตรคือเหตุผลที่ผู้เสียภาษีเงินควรจะใช้จ่ายในสิ่งที่ต้องการนี้ซึ่งหลาย ๆ คนจะพิจารณาความไม่พอใจหรือหยาบคาย  จุดประสงค์ของตัวเอง Finleyในชิ้นถูก muddied เมื่อเธอมาปรากฏตัวในกรกฎาคม 1999 ปัญหาของนิตยสารเพลย์บอย  การกระทำเดิมดูเหมือนจะโกรธมาตรฐาน สตรีนิยม เลียนแบบหรือส่งขึ้นของ"การทำให้แลเห็น"ของร่างกายของสตรีหรือเป็นบทความ Playboy ตัวเองกล่าวว่า"การย่อยสลายสัญลักษณ์ของ."  แต่ปรากฏในภาพเปลือยในนิตยสารเพลย์บอยโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ Bill Maher ส่วนตัวเลียช็อคโกแลตปิดตัวเองของเธอจะแทบจะไม่ได้โกรธ interpretated โดยสตรีนิยมมาตรฐานการส่ง"ข้อความขวา"และ Finley สารปัญหาโดยที่ปรากฏไม่เพียง แต่ใน ช็อคโกแลตเครื่องหมายการค้าของเธอ แต่โดยไม่ได้นอกจากนี้ในบางมาตรฐาน Playboy เปลือย poses  เธอไม่ได้ดูโดยเฉพาะอย่างยิ่งโกรธหรือสตรีนิยมและแน่นอนเป็นผู้หญิงที่ดูดีมาก -- บริสุทธ์และสนุก -- น้อยรองลงมาจากเพื่อนเล่นใด ๆ  นี้ถูกพัฒนาอยากรู้อยากเห็นในประวัติศาสตร์ของศิลปะการแสดงทางการเมือง

     2. Haing ง (1940-1996) เป็นแพทย์ชาวกัมพูชาที่มีประสบการณ์บางส่วนที่เลวร้ายที่สุดของ Terrorกัมพูชาหนีไปกัมพูชาในปี 1979 เขียนหนังสือเกี่ยวกับประสบการณ์ของเขาแล้วได้รับรางวัลออสการ์สำหรับการสนับสนุนที่ดีที่สุดสำหรับนักแสดงภาพยนตร์ 1984 เขตข้อมูลฆ่า  น่าเศร้าที่วันที่25 กุมภาพันธ์ปี 1996 งถูกฆาตกรรมโดยสมาชิกแก๊งเอเชียในขณะที่ออกหดของ Los Angeles พาร์ทเมนท์ของเขา  ฆ่าดูเหมือนจะได้รับส่วนหนึ่งของการปล้น แต่ข่าวลือมาประกอบมันจะตีโดยsympathizers คอมมิวนิสต์  มันยากที่จะเชื่อว่าจะมี sympathizers คอมมิวนิสต์ในการดำเนินงานดังกล่าวชุมชน expatriot แต่ก็เป็นที่ชัดเจนที่วิทยาเขตมหาวิทยาลัยของอเมริกาที่รุ่นที่ไม่เคยรู้ว่าคอมมิวนิสต์เป็นสิ่งที่ชอบกลับบ้านได้อย่างง่ายดายสามารถจัดหา recruits วิทยาเขตสำหรับอนุมูลจาก ซ้าย

     3.การแสดงตนของ MacKinnon ในสื่อดูเหมือนจะอยู่ ๆ ก็หายไปไม่กี่ปีที่ผ่านมาและมันเป็นเพียงตอนนี้ฉันตระหนักดีว่ามันอาจจะเป็นเพราะการสนับสนุนของเธอคดีพอลล่า Jones  MacKinnonกล่าวว่า"เมื่อพอลโจนส์ฟ้องบิลคลินตันการครอบงำชาย quaked."  นี้ก็จะไม่ได้ endeared เธอfeminists อื่น ๆ ผู้หลังจากลังเลเล็กน้อยโมฆะ (ชั่วคราว) หลักการของพวกเขาทั้งหมดที่ระบุไว้ในระยะยาวเพื่อป้องกันการเป็นพันธมิตรทางการเมือง  แท้จริงในขณะที่ฉันไม่ได้ฟังความเห็นของ MacKinnon  นอกจากนี้ในขณะที่ feminists ดั้งเดิมไม่มีความรักโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสื่อลามกพันธมิตรเปิดของ MacKinnon และ Dworkin กับอนุรักษ์นิยมทางศาสนา (ชิงชัง"ศาสนาขวา") เกี่ยวกับเรื่องนี้ทำหลายอย่างน้อยอึดอัด  Dworkin ตัวเองได้รับความสนใจมากขึ้นจากความตายก่อนวัยอันควรของเธอ (มีอายุ 58) ในปี 2005 กว่าทั้งคู่จะมีการรวบรวมมา

Post Modern

Post Modern



                ความคิดโพสต์โมเดิร์นเป็นทั้งการวิพากษ์และการตั้งคำถามที่มีต่อโลกแบบโมเดิร์นของตะวันตก ซึ่งมองว่าการสร้างสังคมสมัยใหม่ของโลกตะวันตกที่ได้กำเนินมานั้นไม่ได้พัฒนาความสุข การหลุดพ้น หรือชีวิตที่เป็นเหตุเป็นผล อย่างที่กล่าวอ้างกัน เป็นเพียงการสร้างวาทกรรมผ่านภาษา เพียงเพื่อครอบงำสังคมอื่นเพื่อชิงความได้เปรียบในหลายปัจจัย
การมองว่าองค์ความรู้ตั้งแต่ปรัชญา จริยธรรม การเมือง การปกครอง วรรณกรรมคลาสสิค ฯลฯ ทั้งหมดเป็นเพียงเพื่อสร้างภาพสร้างตัวตนที่ดีงามมีเหตุผลให้ตะวันตก ซึ่งสิ่งเหล่านั้นไปกดทับ เพิกเฉย ละเลย ลืมประวัติศาสตร์ของตัวตน การดำรงอยู่ของวัฒนธรรมของผู้อื่นหรือคนอื่นเป็นการยกย่องประวัติศาสตร์และ ให้คุณค่าในเรื่องของตนเองและลดคุณค่าในเรื่องที่เป็นของผู้อื่น ซึ่งเป็นวิธีการคิดแบบแยบยล

Post Modern วิพากษ์สังคมตะวันตก ในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้
ประเด็นแรก   โลกโดมเดิร์นไม่ได้นำไปสู่ความเป็นเหตุเป็นผล ความก้าวหน้า หรือความสงบสุขของมนุษย์ แต่มีหลายช่วงที่นำไปสู่ความรุนแรง เช่น สงครามโลก และการฆ่าล้างเผ่าพันต่างๆ
ประเด็นที่สอง ระบบการเมืองของสังคมโมเดิร์นของตะวันตกไม่ได้สะท้อนการกระจายอำนาจที่ดีเพียงพอ พวกเจาจึงเสนอให้มีการกระจายอำนาจสู่ชุมชน อำนาจของประชาสังคม อำนาจของภาคพลเมืองเพิ่มเวทีหรือพื้นที่สาธารณะหรือพื้นที่ทางการเมืองให้คนด้อยสิทธิต่าง ๆ
ประเด็นที่สาม สถาบันระบบคุณธรรมของตะวันตก ยังมีคนบีบบังคับ กดดัน บีบคั้น ผู้ด้อยกว่า เช่น แรงงานอพยพต่างๆ คนกลุ่มน้อย และยังมีการกระทำแบบเดียวกันต่อประเทศอื่นๆ ด้วย
ประเด็นที่สี่     องค์ความรู้ของตะวันตกที่สร้างมาในยุคโมเดิร์นมีส่วนสร้างรับใช้และสถาบันทางการเมือง สังคม ศีลธรรม คุก โรงพยาบาล ซึ่งยังมีส่วนในการปิดกั้นและกีดกันผู้ด้อยโอกาสในสิทธิอำนาจตามประเด็นที่สาม สถาบันระบบคุณธรรมของตะวันตก ยังมีคนบีบบังคับ กดดัน บีบคั้น ผู้ด้อยกว่า เช่น แรงงานอพยพต่างๆ คนกลุ่มน้อยและยังมีการกระทำแบบเดียวกันต่อประเทศอื่นๆ


ลักษณะ Post modern 

1. การปฏิเสธศูนย์กลาง ซึ่งก็คือ การปฏิเสธอำนาจครอบงำ เน้นชายขอบซอกมุม เพื่อปลดเปลื้องการครอบงำทางเวลา เทศะและอัตลักษณ์ที่ยังหลงเหลืออยู่ ดังปรากฏในสถาปัตยกรรมจำนวนมากที่เลิกเน้นศูนย์กลาง 

2. การปฏิเสธความเป็นเอกภาพ หรือ องค์รวม ภาพเขียนหรือสถาปัตยกรรมจึงไม่จำเป็นต้องจบสมบูรณ์ อาจเป็นหลายเรื่องซ่อนเร้นกัน
3. Post modern คัดค้านโครงสร้าง ระเบียบ ลำดับ ไม่ยึดติดกับโครงสร้างเพราะถือได้ว่าเป็นแนวคิดหลังโครงสร้างนิยม
4. Post modern ปฏิเสธจุดเริ่มต้น จึงปฏิเสธประวัติศาสตร์แต่โหยหาอดีต เนื่องจากความไม่มั่นคงทางอัตลักษณ์ อดีตของพวกเขาไม่ใช่ประวัติศาสตร์ แต่เป็นการทำลายประวัติศาสตร์เพราะมันถูกนำมาอยู่ในปัจจุบันหรือหลุดไปจากบริบทอย่างสิ้นเชิง
     ความคิดโพสต์โมเดิร์นเป็นทั้งการวิพากษ์และการตั้งคำถามที่มีต่อโลกแบบโมเดิร์นของตะวันตก ซึ่งมองว่าการสร้างสังคมสมัยใหม่ของโลกตะวันตกที่ได้กำเนินมานั้นไม่ได้พัฒนาความสุข การหลุดพ้น หรือชีวิตที่เป็นเหตุเป็นผล อย่างที่กล่าวอ้างกัน เป็นเพียงการสร้างวาทกรรมผ่านภาษา เพียงเพื่อครอบงำสังคมอื่นเพื่อชิงความได้เปรียบในหลายปัจจัย

อ้างอิง  ธีรยุทธ บุญมี, โลก โมเดิร์น โพสต์ โมเดิร์น . วิญญูชน.พิมพ์ครั้งที่ 4.กรุงเทพฯ : 2550



วันศุกร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ปราบเจ้าชู้ให้อยู่หมัด !!ผู้ชายเจ้าชู้เป็นอย่างไร ตอบ ยากอยู่เหมือนกันเพราะเป็นความรู้สึกที่มีต่อการกระทำ ถ้าถามผู้หญิง แค่ฝ่ายชายชายตามองหญิงอื่นต่อหน้าต่อตา อาจถือว่าเข้าข่าย ส่วนผู้ชายอาจจะเถียงว่าของสวยใครก็อยากมอง แค่มองไม่คิดอะไร ไม่ยุ่งเกี่ยวด้วยจะเรียกว่าเจ้าชู้ได้อย่างไร

ความเจ้าชู้นั้นมี ลีลาและระดับที่ต่างกันไป อาจมีตั้งแต่แค่ชอบมอง ไม่มีเกินเลยไปกว่านั้น หรือมองด้วยสายตาเจ้าชู้ ไม่เกรงใจใคร แต่ไม่มีอะไรเช่นกัน

  • บางคนออกแนวสุภาพ ชอบดูแลเอาใจใส่สาวๆ ทำตัวน่าอบอุ่นให้สาวแอบไปฝันถึงด้วยความประทับใจ

  • อีกระดับชอบจีบสาว พาไปกินข้าว ดูหนังบ้าง แต่ไม่มีเรื่องอย่างอื่น

  • อีก ประเภทไม่ใช่แค่ควงกันไปไหนต่อไหน แต่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันด้วย ถึงขั้นนี้ภรรยาส่วนใหญ่คงทำใจให้ยอมรับได้ยาก ยิ่งประเภทชอบเที่ยว มีความสัมพันธ์ไม่เลือก ยิ่งกระทบความสัมพันธ์ในชีวิตคู่

  • ส่วนประเภทสุดท้ายเป็นแบบจริงจัง มีภรรยาหลายคน เลี้ยงดูทุกคน ลูกสามภรรยาก็สามคนด้วย ไม่ใช่ลูกสามภรรยาหนึ่ง

    สำหรับ ผู้หญิงเรื่องเจ้าชู้เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ยากที่สุด ให้เปรียบเทียบระหว่างสามีเจ้าชู้กับสามีดื่มเหล้า ส่วนมากขอเลือกสามีดื่มเหล้าดีกว่า เมาเหล้าแล้วกลับบ้าน ดีกว่าพวกเมาดิบไปกับสาวๆ 

    ยกเว้นผู้หญิงบาง คนที่ประกาศตัวว่าชอบผู้ชายเจ้าชู้ เพราะคิดว่าผู้ชายเจ้าชู้มีเสน่ห์ ชอบเอาอกเอาใจ โรแมนติก รู้วิถีเอาใจสาว บอกรักได้ไม่มีเบื่อ ผู้หญิงที่อยู่ด้วยจึงรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนสำคัญ เป็นคนที่เขารักมากที่สุด แม้เขาจะมีคนอื่นก็ช่าง ขอให้เราเป็นที่หนึ่งแล้วกัน

    ส่วน มากความเจ้าชู้ของผู้ชายนั้นมีมาตั้งแต่ก่อนแต่งงาน แต่เพราะความรัก คิดว่าเขารักเราเป็นคนสุดท้าย เขาจะเปลี่ยนแปลงตนเองหลังแต่งงาน หรือตอนยังไม่แต่งคิดว่าเรื่องเจ้าชู้แค่นี้ทนได้ แต่งงานไปแล้วผู้ชายเจ้าชู้อาจจะหยุดตัวเอง ยอมเป็นเสือถอดเขี้ยวเล็บ

    แต่ อันที่จริงการแต่งงานไม่ได้เปลี่ยนแปลงความรู้สึกรับผิดชอบ ความเจ้าชู้ยังคงดำเนินต่อไป แม้ผู้ชายเจ้าชู้จำนวนมากรักภรรยา ไม่อยากเสียชีวิตครอบครัว แต่อานุภาพของความตื่นเต้นเร้าใจ การได้เจอสิ่งใหม่ๆ ได้รู้สึกว่าตนเองมีเสน่ห์ ยังเป็นที่ต้องการของสาวๆ ทำให้ไม่สามารถหยุดตัวเองได้อยู่ดี